‘บิ๊กอู๋’ ลงพื้นที่ศูนย์บริการวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน เตรียมรุกบริการแบบ Single Window ออก Work Permit

วันที่ 22 พฤศจิกายน 2561 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่เยี่ยมชมการปฏิบัติงานของศูนย์บริการวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน ชั้น 18 อาคารจัตุรัสจามจุรี พญาไท กรุงเทพฯ
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.แรงงาน  กล่าวว่า กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ดำเนินโครงการพัฒนาระบบนำร่องการจัดหาและพัฒนาระบบ Single Window ศูนย์บริการวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน ซึ่งถือว่าเป็นการปรับโครงสร้างการให้บริการภาครัฐในลักษณะนำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาตั้งอยู่รวมกันและเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่สะดวก รวดเร็ว ประหยัด เป็น One Stop Service Center โดยบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนสามารถยื่นคำร้องและพิจารณาคำร้องแบบ Online : Single Entry ผ่านระบบนำร่อง Single Window ซึ่งเป็นช่องทางบริการที่สะดวก รวดเร็วและทันสมัย  เป็นการให้บริการแบบ 
E-Service ลดการมาติดต่อด้วยตนเองของผู้ใช้บริการ ลดการใช้เอกสาร ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา และสถานที่ในการยื่นคำขอ ลดระยะเวลาการพิจารณาอนุมัติเหลือเพียง 3 ชั่วโมง 7 วันทำการ ผู้ยื่นสามารถติดตามสถานะคำขอได้ด้วยตนเองผ่านทาง e-mail ของผู้ติดต่อ ทั้งยังสามารถเลือกสถานที่ขอรับหนังสือและขอรับบริการวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) ผ่านระบบ Single Window ได้ ทั้งนี้ ใบอนุญาตทำงานที่คนต่างด้าวจะได้รับจะไม่เป็นเล่มเอกสารหรือบัตรแข็งอีกต่อไป แต่จะเป็นรูปแบบ Digital Work Permit บนโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟน 
สำหรับขั้นตอนการทำงานคือ เมื่อคนต่างด้าวที่ยื่นคำขออนุญาตทำงานผ่านระบบ Single Window for VISA and Work Permit กรมการจัดหางานและ ตรวจคนเข้าเมือง จะพิจารณาอนุญาตเบื้องต้นในระบบและแจ้งผลการพิจารณาทาง E-mail เมื่อคนต่างด้าวได้รับการอนุญาตเบื้องต้นแล้ว จะเลือกวันนัดด้วยตนเอง เพื่อมาชำระค่าธรรมเนียม แสดงตนเพื่อถ่ายรูปและลงลายมือชื่อดิจิทัล ซึ่งจะได้ Username และ Password คนต่างด้าวเข้าสู่ Application ชื่อ “Thailand Digital Work Permit” ใช้ได้ทั้งระบบ IOS และ Android ซึ่งจะปรากฏ Digital Work Permit บนโทรศัพท์มือถือของคนต่างด้าว
พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ใบอนุญาตการทำงานแบบ Digital Work Permit มีข้อดีคือลดเอกสารที่ต้องพกพา ผู้บังคับใช้กฎหมายหรือผู้ตรวจสอบสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ด้วยการใช้โทรศัพท์มือถือ Scan QR code สามารถตรวจสอบข้อมูลความเป็นตัวตนหรืออัตลักษณ์หรือเอกสิทธ์ต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง เพราะมีข้อมูลเชิงลึกให้ตรวจสอบ หากบัตรเป็นรูปแบบเดิมจะตรวจสอบได้เฉพาะข้อมูลที่ปรากฏบนบัตรเท่านั้น มีความปลอดภัยในการเก็บรักษาข้อมูล ปลอมแปลงเอกสารได้ยาก เพราะการแก้ไขข้อมูลที่ปรากฏบนโทรศัพท์มือถือจะต้องเข้าไปแก้ไขในระบบฐานข้อมูล ทั้งยังมีการพิสูจน์ตัวตนก่อนเข้าสู่ระบบโดยการใช้ User ID และ Password หรือใช้ลายนิ้วมือหรือใบหน้า เป็นต้น ประหยัดเวลาและทรัพยากร เนื่องจากลดขั้นตอนระยะเวลาการให้บริการ ประหยัดงบประมาณที่ต้องใช้ในการจัดพิมพ์ใบอนุญาตแบบเดิม การต่ออายุใบอนุญาตทำงานหรือการแก้ไขข้อมูลสามารถดำเนินการผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งข้อมูลที่แก้ไขจะ Update ในระบบแบบ Real Time และตรวจสอบแก้ไขได้โดยผ่านโทรศัพท์มือถือ ทั้งนี้ จะต่อยอดการออกใบอนุญาตในรูปแบบดังกล่าวไปยังจังหวัดอื่นในเขตพัฒนาเศรษฐกิจ (EEC) และทุกจังหวัดทั่วประเทศต่อไป



ตม.บุกจับต่างด้าว! ทลายโกดังสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ มูลค่ากว่า 12 ล้าบาท

หาต่างด้าวคลิ๊ก

ตม.บุกจับต่างด้าว! ทลายโกดังสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ มูลค่ากว่า 12 ล้าบาท

  • Share:
"บิ๊กโจ๊ก" นำกำลังเข้าตรวจค้นห้างเสือป่าพลาซ่า รวบนายจ้างไทย 1 คน และแรงงานต่างด้าวอีก 22 คน พร้อมยึดของกลางอุปกรณ์มือถือยี่ห้อดังกว่า 6 หมื่นชิ้น รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 12 ล้านบาท
เมื่อเวลา 01.00 น. วันที่ 4 พ.ย.61 พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รรท.ผบช.สตม. พ.ต.อ.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รรท.ผบก.สส.สตม. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สังกัด บช.สตม. บช.ทท. สน.พลับพลาไชย 1 และกรมศุลกากร รวมกว่า 50 นาย นำหมายค้นเข้าปิดล้อมตรวจค้นร้านจำหน่ายอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือบริเวณชั้นที่ 1-3 อาคารเสือป่าพลาซ่า ถนนเสือป่า แขวงและเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ สามารถจับกุมนายจ้างคนไทยจำนวน 1 คน และแรงงานต่างด้าว 22 คน พร้อมทั้งตรวจยึดของกลางเป็นอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือต่างๆ จำนวน 60,000 ชิ้น คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 12 ล้านบาท
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ เปิดเผยว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากทางศูนย์ปราบปรามอาชญากรรม ทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนว่ามีแรงงานต่าวด้าว ลักลอบทำงานจำหน่ายอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ อยู่บริเวณอาคารเสือป่าพลาซ่าเป็นจำนวนมาก ในวันนี้(4 พ.ย.) จึงนำกำลังเข้าตรวจสอบบริเวณชั้นที่ 6 ของอาคารเสือป่าพลาซ่า พบเป็นร้านจำหน่ายอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือแบบขายส่งและเป็นล็อกเก็บสินค้า ทั้งนี้มีการวางจำหน่ายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอยู่จำนวนมาก ซึ่งขณะที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบ นางเจิ้น อี้หง สัญชาติจีน ขณะที่จำหน่ายสินค้าอยู่ในร้านไม่มีชื่อ ล็อกเลขที่ M11-M13 จากนั้นมี นายเอกวิทย์ หลักเพชร เข้ามาแสดงตัวกับเจ้าหน้าที่ว่าเป็นเจ้าของร้านดังกล่าว จึงทำการตรวจยึดสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมของบุคคลอื่น ที่จดทะเบียนแล้วในราชอาณาจักร, สินค้าที่ไม่แสดงฉลากและสินค้าที่ไม่ผ่านพิธีการศุลกากร จากการตรวจสอบทั้งหมดพบสินค้าประเภทอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ อาทิ อะไหล่จอสัมผัสโทรศัพท์มือถือ(ทัชสกรีน) หูฟัง ฝาหลังโทรศัพท์มือถือ เครื่องชาร์จแบตเตอรี่ยี่ห้อซัมซุงและไอโฟน จำนวนรวมกันกว่า 60,000 ชิ้น คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 12 ล้านบาท ซึ่งได้แจ้งข้อหากับนายเอกวิทย์และนางเจิ้น อี้หง จำนวน 6 ข้อหา "นำของต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักร, นำของที่ไม่ผ่านพิธีการศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักรหรือของลักลอบหนีศุลกากร, จำหน่ายหรือเสนอจำหน่ายหรือมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอม หรือเลียนเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนแล้วในราชอาณาจักร, ขายสินค้าที่ควบคุมฉลากตามมาตรา 30 พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 โดยไม่มีฉลากหรือมีฉลากแต่ฉลากหรือการแสดงฉลากนั้นไม่ถูกต้อง, เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต, รับคนต่างด้าวเข้าทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และควบคุมตัวพร้อมของกลางนำส่ง สน.พลับพลาไชย 1 ดำเนินดคีตามกฎหมายต่อไป
"จากการเข้าตรวจค้นทั้งหมดพบว่า มีร้านประกอบการที่กระทำความผิดในเรื่องของแรงงานต่างด้าว รวมจำนวน 18 ร้าน สามารถจับกุมนายจ้างชาวไทย 1 คน แจ้งข้อหา "รับคนต่างด้าวเข้าทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต" และแรงต่างด้าวจำนวน 22 คน แบ่งเป็นสัญชาติจีน 7 คน กัมพูชา 12 คน เมียนม่า 2 คน และไม่มีสัญชาติอีก 1 คน ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาว่า "เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยผิดกฎหมาย" ตาม พ.ร.ก.การบริหารจัดการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2561 มาตรา 8 ประกอบมาตรา 101 ซึ่งในส่วนเจ้าของร้านอีก 17 ร้าน ทางเจ้าหน้าที่จะดำเนินการสอบสวนขยายผล และออกหมายเรียกเพื่อเข้ามารับทราบข้อกล่าวหา ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการอย่างเข้มข้นต่อเนื่องอยู่ตลอด และฝากไปยังผู้ที่ยังดำเนินการผลิต นำเข้าหรือจำหน่ายสินค้าที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯหรือต่างจังหวัด ที่กระทำการประกาศขายทางออนไลน์ต่างๆ หากยังดำเนินการอยู่ก็จะดำเนินการติดตามจับกุมมาดำเนินคดี และขยายถึงนายทุน ตลอดจนใช้มาตราการยึดทรัพย์ ตาม พ.ร.บ.ฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3(13) ซึ่งเป็นการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายฟอกเงิน เพื่อให้ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้าของประเทศไทยหมดไป" รรท.ผบช.สตม. กล่าว   -ขอขอบคุณข้อมูลดีดีจากhttps://www.thairath.co.th/content/1411265
#หาคนต่างด้าว
#ต่างด้าวหางานทำ
#คนต่างด้าว
#หาต่างด้าว
#บริษัทหาคนต่างด้าว
#บริษัทหาต่างด้าว
#บริษัทนำคนต่างด้าวมาทำงาน
#หาคนงานก่อสร้าง
#หาคนงานก่อสร้างต่างด้าว
#บริษัทนำแรงงานต่างด้าวมาทำงานภายในประเทศ

“บิ๊กอู๋” กระทุ้ง ! นายจ้างเร่งพาแรงงานต่างด้าวประมง ม.83 ต่อใบอนุญาตทำงาน

รมว.แรงงาน เตือนนายจ้างเร่งพาแรงงานต่างด้าวในกิจการประมงทะเล ตามมาตรา 83 มายื่นขอขยายเวลาทำงานต่ออีก 2 ปี ที่ศูนย์ OSS 22 จังหวัดชายทะเล ระบุตั้งแต่เปิดศูนย์ 20 ส.ค. จนถึงขณะนี้มีมายื่นเพียง 150 คน ย้ำรัฐบาลเปิดถึง 30 ก.ย.นี้ ไม่มีขยายเวลา
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานประมงทะเล โดยได้เปิดต่ออายุแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานตามมาตรา 83 แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 ที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้วออกไปอีกเป็นเวลา 2 ปี ถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 ซึ่งจะอนุญาตให้คราวละ 1 ปี ตามที่แรงงานต่างด้าวได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม – 30 กันยายน 2561 ณ ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) สำนักงานจัดหางานจังหวัด 22 จังหวัดติดชายทะเล หรือสถานที่ที่เหมาะสมในแต่ละจังหวัดนั้น ปรากฏว่า ตั้งแต่เปิดศูนย์วันที่ 20–22 สิงหาคม 2561 มีแรงงานต่างด้าวมายื่นขอขยายระยะเวลาการทำงานเพียง 150 คน เป็น กัมพูชา 73 คน ลาว 3 คน เมียนมา 74 คน โดยจังหวัดที่มีผลการดำเนินการมากที่สุด 3 อันดับคือ 1. ชุมพร 2. สมุทรปราการ 3. สมุทรสงคราม

สำหรับขั้นตอนการดำเนินการคือ 1. นายจ้างพาแรงงานต่างด้าวกลุ่มตามมาตรา 83 ที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้วไปตรวจสุขภาพ/ทำประกันสุขภาพ ณ โรงพยาบาลที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ค่าใช้จ่ายจำนวน 2,100 บาท (ค่าตรวจโรค 500 บาท ค่าประกันสุขภาพ 1,600 บาท)  2. นายจ้างพาแรงงานฯ ไปยื่นขอขยายเวลาการทำงานที่ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (OSS) ในพื้นที่ 22 จังหวัดชายทะเล ประกอบด้วย 2.1 ตรวจคนเข้าเมืองทำหน้าที่ตรวจลงตรา (VISA) ค่าใช้จ่ายจำนวน 1,900 บาท 2.2 กรมการจัดหางานออกใบอนุญาตทำงาน (WORK PERMIT) ค่าใช้จ่ายจำนวน 1,000 บาท และกรมประมงออกหนังสือคนประจำเรือสำหรับคนต่างด้าว (SEABOOK) ค่าใช้จ่ายจำนวน 100 บาท รวมทั้งสิ้น 5,100 บาท
พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวย้ำให้นายจ้างเร่งพาแรงงานต่างด้าวมายื่นขอขยายเวลาการทำงานที่ศูนย์ OSS ในพื้นที่ 22 จังหวัดชายทะเลโดยด่วน เพราะหากพ้นกำหนดวันที่ 30 กันยายน 2561 ไม่มาดำเนินการ แรงงานต่างด้าวจะไม่สามารถอยู่และทำงานอีกต่อไปได้ และรัฐบาลไม่มีนโยบายขยายเวลาให้อีกแน่นอน
ข้อมูลดีดีจาก:https://www.khaosod.co.th/pr-news/news_1481961


https://www.khaosod.co.th/pr-news/news_1481961

นักวิชาการหวั่น รัฐแก้กฏหมายรักษาแรงงานต่างด้าว ทั้งที่คนไทยยังไม่ได้รับบริการทางการแพทย์ที่ดีพอ

กรณีคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ  มีความพยายามจะแก้ไข ยกร่างพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ใช้มานานถึง 14 ปี
Sanook News! พูดคุยถึงปัญหานี้ กับผู้อำนวยการศูนย์คลังปัญญาและสารสนเทศ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์   ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ท่านกล่าวไว้ว่าการแก้ไขกฏหมายมีความน่ากังวลใจมากที่สุดก็คือ การจัดระบบหลักประกันสุขภาพให้ครอบคลุมทุกคนที่อยู่บนแผ่นดินไทย นั้นรวมถึงแรงงานต่างด้าว โรฮิงญา นักท่องเที่ยว และผู้อพยพ ตลอดจนคนชายขอบและคนไร้สัญชาติ หากมีการแก้กฏหมายนี้เรียกได้ว่า ถ้าคนกลุ่มนี้เหยียบเข้ามาบนผืนแผ่นดินไทย ต้องรักษาพยาบาลฟรีตามสิทธิ์บัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งเป็นสิ่งที่กลุ่ม NGO บางกลุ่มพยายามผลักดันมาตลอด ซึ่งหากทำเช่นนั้นจริงก็ควรต้องเปลี่ยนชื่อว่า บัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค และทุกชีวิต บนแผ่นดินไทยด้วย ขณะที่คนไทยส่วนใหญ่ยังคงตั้งคำถามว่า สิทธิ์การรักษาพยาบาลของคนไทยที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ มีประสิทธิภาพ และสมบูรณ์ดีแล้วหรือยัง ?
จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่าโรงพยาบาลรัฐหลายแห่ง แทบจะไม่มีเตียงคลอดให้แม่ซึ่งเป็นคนไทย เพราะแรงงานต่างด้าว แห่มาใช้บริการคลอดเต็มโรงพยาบาล ที่หนักกว่านั้นคือตู้อบเด็กคลอดก่อนกำหนด เต็มไปด้วยเด็กสัญชาติเมียนมาร์  และเมื่อถึงคราวจำเป็นที่เด็กสัญชาติไทยจะต้องใช้บริการตู้อบ กลับไม่มีที่ว่างเพียงพอ  จึงเกิดคำถามว่าเราเมตตาปรานีเขา จนเราเดือดร้อนกันเลยหรือ ?
ขณะเดียวกันพบว่ากลุ่มแรงงานข้ามชาติ เมื่อเข้ามาทำงานในประเทศไทย ต่างก็รีบมีลูกกัน เนื่องจากรัฐบาลไทยร่วมจ่ายเงินสมทบประกันสังคมให้แรงงานต่างด้าวด้วย และคนไทยที่ใช้สิทธิประกันสังคมเองก็แทบจะไม่ใช้สิทธิประโยชน์ด้านการคลอดและการสงเคราะห์บุตร ส่วนแรงงานต่างชาติที่ได้สิทธิประกันสังคมนี้กลับใช้สิทธิประโยชน์อย่างเต็มที่ และเป็นที่ทราบกันว่าการแพทย์ในประเทศไทยมีคุณภาพดีมากกว่าในประเทศเพื่อนบ้าน  แรงงานต่างด้าวกลุ่มนี้จึงนิยมมาคลอดลูกในประเทศไทย 
นอกจากหลักประกันสุขภาพที่ไทยรองรับให้กับกลุ่มคนเหล่านี้แล้ว เรื่องการศึกษาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่กำลังได้รับผลกระทบ จากการตรวจสอบพบว่าบางโรงเรียนในจังหวัดสมุทรสาครมีแต่นักเรียนสัญชาติเมียนมาร์เต็มทั้งโรงเรียน ซึ่งมีเงินภาษีของไทยอุดหนุนในระบบการศึกษาเหล่านี้ด้วย   เมื่อมองกลับไปอีกด้านหนึ่งกลับพบว่าเด็กสัญชาติไทยแท้ๆ บางกลุ่มกลับไม่ได้รับการศึกษาที่ดีพอ
หากมองในเรื่องสิทธิมนุษยชนที่ NGO หลายกลุ่มพยายามเรียกร้อง จนมีการผลักดันให้แก้กฏหมาย ดร. อานนท์ ให้ความเห็นว่าประเทศไทยควรพิจารณา รักษาตามความจำเป็น ตามหลักสิทธิมนุษยชน แต่ไม่ใช่มาป่าวประกาศว่ารักษาพยาบาลให้ฟรีทุกคน  ถ้าประกาศออกมาเป็นกฎหมาย ว่าให้รักษาฟรีกันหมดทุกคนที่อาศัยบนแผ่นดินไทย  ตามแนวคิดของ NGO กลุ่มนี้ เกิดมีเพื่อนบ้านทุกชาติอพยพเข้ามามากมาย สร้างภาระอันใหญ่หลวงให้กับแพทย์ในประเทศไทย แย่งเตียง  แย่งชิงทรัพยากรอันจำกัด คนไทยที่เหลืออยู่จะทำเช่นไร
ขณะที่โรงพยาบาลของรัฐหลายแห่งขาดทุน ขาดสภาพคล่องจวนจะล้มละลาย ประกอบกับภาวะสังคมผู้สูงอายุของไทยเริ่มขยายตัวขึ้น ประเทศไทยไม่ได้ร่ำรวย และไม่สามารถหาเงินมาอุดหนุนได้มหาศาล  ต่อให้มี “ตูน บอดี้สแลม” วิ่งแทบตายก็แก้ปัญหาไม่ได้  เพราะการแก้กฏหมายที่กล่าวมาข้างต้น ประเทศไทยจะกลายเป็นม้าอารีที่ถูกเบียดเบียนโดยผู้อพยพจากประเทศเพื่อนบ้าน การช่วยเหลือคนอื่นทั้งๆ ที่ตัวเราเองยังเดือดร้อน ไม่น่าจะเป็นผลบุญสักเท่าไหร่ แม้จะถูกต้องตามหลักสิทธิมนุษยชนก็ตาม “แล้วเวลาประชาชนคนไทยเดือดร้อน นักสิทธิมนุษยชนไปมุดหัวแถวรูตรงไหน ทำไมไม่ออกมาช่วยเหลือคนไทยด้วยกันเองก่อน” ดร. อานนท์ ถามกลับ
ผู้อำนวยการศูนย์คลังปัญญาและสารสนเทศ กล่าวย้ำว่าถ้าเอาตัวเองไม่รอด แล้วยังจะเสนอหน้าไปช่วยเหลือผู้อื่น คงเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้องนัก และถ้าเป็นชาติที่ฉลาดแล้วเขาจะไม่ดึงดูดให้คนต่างชาติอพยพเข้ามาใช้สิทธิ์การรักษาพยาบาลฟรีๆ ในประเทศตนเอง เพราะการรักษาพยาบาลนั้นมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก และควรทำให้คนในชาติตนเองได้รับสิ่งที่ดีเพียงพอเสียก่อน จึงอยากเรียกร้องให้คนไทย  และผู้ที่เกี่ยวข้องทบทวนมาตรการดังกล่าวว่ามันเหมาะสมแล้วหรือ?
ขอขอบคุณ https://www.sanook.com/news/2210099/

ก.แรงงาน ถกหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานภาคประมงทะเล

วันที่ 2 สิงหาคม 2561 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการประสานงานการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน (อกนร.) ครั้งที่ 1/2561 ณ ห้องประชุม ศ.นิคม จันทรวิทุร อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี นายอนุรักษ์ ทศรัตน์ อธิบดีกรมการจัดหางาน ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมประมง เป็นต้น เข้าร่วมประชุม 
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการประสานงานการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน (อกนร.) ว่า ปัจจุบันมีแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา ได้รับอนุญาตทำงานในกิจการประมงทะเลจำนวน 59,691 คน ซึ่งสมาคมประมงแห่งประเทศไทยแจ้งว่ากำลังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานประมง และได้แจ้งความต้องการจำนวน 42,649 คน ในการนี้มีนายจ้างยื่นคำร้องขอนำคนต่างด้าวมาทำงานตาม MOU ในกิจการประมงทะเลใน 22 จังหวัดชายทะเล จำนวน 3,746 คน เป็นกัมพูชา 3,003 คน ลาว 240 คน เมียนมา 503 คน ในการนี้ กรมการจัดหางานได้แจ้งให้จัดหางานจังหวัด 22 จังหวัดชายทะเลประสานสมาคมประมงเพื่อแจ้งนายจ้างให้มายื่นคำขอจ้างแรงงานต่างด้าว ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการนำเข้าตาม MOU แล้ว 1,480 คน เป็นกัมพูชา 1,439 คน ลาว 39 คน เมียนมา 2 คน ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานประมงทะเลและแนวทางการจ้างแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนาม ซึ่งฝ่ายเลขานุการโดยกรมการจัดหางานได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงความคืบหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานประมงทะเลว่า กรมการจัดหางานได้ประชุมหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องและสมาคมประมงแห่งประเทศไทยรับทราบค่าจ้าง สวัสดิการ สิทธิประโยชน์ไปนำเสนอต่อที่ประชุมวิชาการไทย-กัมพูชา และไทย-เมียนมา ซึ่งพร้อมส่งแรงงานมาทำงาน และจะได้มีการประสานงานในรายละเอียดเพิ่มเติมต่อไป 
สำหรับคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานตามมาตรา 83 แห่งพระราชกำหนดการประมงที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้ว และการอนุญาตทำงานจะหมดอายุวันที่ 30 กันยายน 2561 จำนวน 11,000 คน นั้น ที่ประชุมเห็นชอบให้ต่ออายุการทำงานออกไปอีก 2 ปี ถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 
สำหรับในส่วนของจำนวนที่ขาดแคลนกว่า 42,000 กว่าราย ให้ผู้ประกอบการยื่นคำขอจ้างแรงงานต่างด้าวได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด 22 จังหวัดชายทะเลได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2561 เพื่อที่กรมการจัดหางานจะได้ดำเนินการนำเข้าตาม MOU ต่อไป ทั้งนี้ จะได้นำเสนอผลการประชุมต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน (กนร.) เพื่อพิจารณาและนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
ในส่วนของการจ้างแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนามนั้น พบว่าปัจจุบันมีแรงงานเวียดนามทำงานอย่างถูกกฎหมายจำนวน 1,130 คน เป็นระดับฝีมือ 724 คน ส่งเสริมการลงทุน (BOI) 300 คน มติครม. (ทำงานก่อสร้าง) 100 คน แรงงานนำเข้าตาม MOU 6 คน ซึ่งเวียดนามได้ขอให้เพิ่มงานใน MOU เพราะแรงงานไม่ต้องการทำงานก่อสร้าง ประมง ขณะที่ฝ่ายไทยขอให้เวียดนามทำหนังสือผ่านช่องทางการทูตเพื่อนำมาพิจารณา โดยฝ่ายไทยได้เสนอค่าตอบแทนในงานประมงทะเลในอัตราเดือนละ 12,000 บาท ทั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการได้ขอให้ที่ประชุมพิจารณาข้อเสนอกรณีแรงงานเวียดนามที่ลักลอบทำงานเห็นควรให้กลับออกไปและกลับเข้ามาตาม MOU และพิจารณาเพิ่มประเภทงานให้แรงงานเวียดนามที่นำเข้าตาม MOU ทำได้นอกเหนือจากงานกรรมกรในกิจการก่อสร้างและประมงทะเล หรือให้ทำงานได้เฉพาะงานกรรมกรในกิจการก่อสร้างและประมงทะเล ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้แรงงานที่ลักลอบทำงานกลับประเทศและกลับเข้ามาตาม MOU และเห็นชอบเปิดให้ MOU 2 ตำแหน่งคือ กรรมกรและผู้รับใช้ในบ้าน ทั้งนี้ จะได้นำเสนอต่อที่ประชุม กนร.ต่อไป
รมว.แรงงาน กล่าวในตอนท้ายว่า เพื่อความมั่นคงของประเทศและความต้องการที่แท้จริงของภาคประมง กระทรวงแรงงานพร้อมจะให้มีการนำเข้าแรงงานตาม MOU ในกิจการประมงทะเลที่ขาดแคลน จึงขอให้แจ้งรายละเอียดว่ามีจังหวัดใดบ้างใน 22 จังหวัดชายทะเลที่ขาดแคลน เพื่อที่จะนำเข้าตาม MOU ต่อไป ในส่วนของการนำเข้าแรงงานในสัญชาติอื่นนั้น ขอเรียนว่าขณะนี้แรงงาน 4 สัญชาติมีเพียงพอแล้ว
ข้อมูลดีดีจาก:https://www.doe.go.th/prd/alien/news/param/site/152/cat/7/sub/0/pull/detail/view/detail/object_id/17244

เตือน!! แรงงานต่างด้าว..อย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้าง ระวังเสียเงินฟรี

เตือน!! แรงงานต่างด้าว..อย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้าง ระวังเสียเงินฟรี

เตือน!! แรงงานต่างด้าว..อย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้าง ระวังเสียเงินฟรี หากต้องการทำงานในประเทศไทยต้องเข้ามาในรูปแบบ MOU เท่านั้น
จัดหางานเชียงใหม่ เตือนแรงงานต่างด้าว ระวังตกเป็นเหยื่อผู้แอบอ้าง หลอกว่าสามารถดำเนินการยื่นตรวจลงตราวีซ่าและขออนุญาตทำงานได้  ย้ำ..หมดเวลาดำเนินการเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 61 ที่ผ่านมาแล้ว สำหรับแรงงานต่างด้าวกลุ่มที่ยังไม่ได้พิสูจน์สัญชาติ และยังไม่ได้ขออนุญาตทำงานและปรับปรุงทะเบียนประวัติ เพื่อจัดทำบัตรประจำตัว(บัตรสีชมพู) หากต้องการทำงานต้องกลับประเทศต้นทางและเข้ามาในรูปแบบ MOU เท่านั้น 
นางพรปวีณ์  วิชิต จัดหางานจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า สำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงใหม่ ได้รับแจ้งจาก ผู้รับบริการทั้งนายจ้างและแรงงานต่างด้าวว่ามีบุคคลแอบอ้าง ว่าสามารถช่วยดำเนินการ    ตรวจลงตราวีซ่า ประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรและอนุญาตทำงานให้แก่แรงงานต่างด้าว ที่ไม่สามารถดำเนินการ ณ ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จจังหวัดเชียงใหม่ (OSS) ทันภายในกำหนดได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ขอแจ้งว่ากระบวนการดำเนินการต่ออายุใบอนุญาตทำงานของแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว และกัมพูชา ได้สิ้นสุดไปแล้วเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2561 ขณะนี้ ไม่มีการขึ้นทะเบียนใหม่ หรือประกาศให้แรงงานต่างด้าวที่ดำเนินการไม่ทันภายในระยะเวลาที่กำหนดมาต่อ Visa หรือขออนุญาตทำงานได้อีก  และขอแจ้งเตือนไปยังนายจ้างที่จ้างแรงงานต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน ขอให้หยุดการจ้างและให้แรงงานต่างด้าวกลับประเทศต้นทาง แล้วนำเข้ามาทำงานในรูปแบบ MOU  รวมทั้ง หากมีการจ้างแรงงานต่างด้าวที่ถูกต้องแล้ว ต้องทำงานตามที่ระบุไว้เท่านั้น 
จึงขอแจ้งให้ทราบโดยทั่วกัน และอย่าได้หลงเชื่อตกเป็นเหยื่อผู้แอบอ้างดังกล่าว เพราะจะทำให้    เสียเงินเป็นจำนวนมากและเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ขอให้นายจ้าง/สถานประกอบการและแรงงานต่างด้าวติดตามข่าวสารจากสำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงใหม่  หรือสอบถามข้อมูลที่ถูกต้องจาก งานควบคุมการทำงานของคนต่างด้าว สำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงใหม่ สาขาย่อย โทร. 053-112911-4 หรือ Line ID : @doecmi
ข้อมูลดีดีจาก:http://www.konlannanews.com/2018/08/01/1713/

นายจ้าง ร้องกระทรวงแรงงาน ทบทวนงานห้ามคนต่างด้าวทำ


นายจ้าง ร้องกระทรวงแรงงาน ทบทวนงานห้ามคนต่างด้าวทำ



นายจ้าง ร้องกระทรวงแรงงาน ขอผ่อนผันข้อกำหนดงานห้ามคนต่างด้าวทำ เนื่องจากแรงงานไม่เพียงพอ ขณะที่ 1 ก.ค. เริ่มตรวจจับนายจ้าง-ต่างด้าว ทำผิดกฎหมาย
กลุ่มนายจ้าง ซึ่งเป็นผู้ประกอบการร้านค้า เข้ายื่นหนังสือถึง พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว เพื่อขอให้ทบทวน เกี่ยวกับข้อกำหนดในงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ โดยมีนายสมบัติ นิเวศรัตน์ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน เป็นผู้รับเรื่อง

ขณะที่นายก่อพงศ์ ธารสุวรรณ ตัวแทนนายจ้างที่ต้องใช้แรงงานต่างด้าว เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการมีความจำเป็นที่จะต้องใช้แรงงานในตำแหน่งพนักงานขายของหน้าร้าน แต่ประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากไม่มีแรงงานไทย รองรับ
โดยมีสาเหตุมาจากคนไทย มีศักยภาพ, มีความรู้-ความสามารถเพิ่มขึ้น และมีทางเลือกมากขึ้น ส่วนใหญ่ จึงเลือกทำงานที่สะดวกสบาย และมีสวัสดิการที่ดีกว่า ทำให้ผู้ประกอบการต้องหันมาพึ่งพาแรงงานต่างด้าว ดังนั้น จึงขอให้คณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ผ่อนผันข้อกำหนดที่ห้ามคนต่างด้าวประกอบอาชีพขายของหน้าร้าน
ส่วนบรรยากาศที่ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ หรือ OSS วานนี้ ยังคงมีแรงงานต่างด้าว เดินทางมาทำทะเบียนประวัติ ตรวจลงตราวีซ่า และขออนุญาตทำงานกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขั้นตอนต่างๆ ต้องแล้วเสร็จภายในวันที่ 30 มิถุนายนนี้ และจะไม่มีการขยายระยะเวลาออกไป
ที่สำคัญ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมนี้เป็นต้นไป เจ้าหน้าที่จะระดมกวาดล้างผู้กระทำผิดกฎหมายครั้งใหญ่ หากพบแรงงานต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน หรือทำงานนอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนด จะมีโทษปรับ 5,000 – 50,000 บาท และเมื่อชำระค่าปรับแล้ว จะถูกส่งออกนอกราชอาณาจักร และห้ามขออนุญาตทำงานภายใน 2 ปี
ส่วนนายจ้างที่จ้างแรงงานต่างด้าวโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน หรือทำงานนอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนด จะมีโทษปรับ 10,000-100,000 บาทต่อแรงงานต่างด้าวที่จ้าง 1 คน และหากกระทำผิดซ้ำ จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และห้ามจ้างแรงงานต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี
ข้อมูลดีดีจาก  : https://news.mthai.com/general-news/651636.html

จัด 113 ทีม ปูพรมทั่วประเทศ! จับแรงงานต่างด้าวผิด ก.ม.

กระทรวงแรงงานเข้ม! ร่วมตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดชุดปฏิบัติการ 113 ทีม ปูพรมตรวจเข้มทั่วประเทศ จับแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังสิ้นสุดการจัดทำทะเบียนประวัติ ขออนุญาตทำงาน และพิสูจน์สัญชาติของแรงงานต่างด้าว (เมียนมา ลาว และกัมพูชา) เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2561 และตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2561 เป็นต้นไป กระทรวงแรงงานได้บูรณาการตรวจร่วมกับตำรวจในพื้นที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบ ปราบปราม และจับกุมแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยจัดชุดปฏิบัติการ 113 ทีม ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่กรมการจัดหางาน ตำรวจ และฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ที่ร่วมกันออกตรวจสอบ ปราบปราม จับกุม และดำเนินคดี นายจ้าง/สถานประกอบการ และแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย

 

อนุรักษ์ ทศรัตน์
อธิบดีกรมการจัดหางาน


นายอนุรักษ์ ทศรัตน์ อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยผลการบูรณาการปราบปรามแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายของชุดปฏิบัติการ 113 ทีม พบว่าตั้งแต่วันที่ 1-3 ก.ค. 2561 เพียง 3 วัน สามารถตรวจสอบนายจ้าง/สถานประกอบการได้ 298 ราย พบกระทำความผิด 26 ราย แบ่งเป็น ดำเนินคดีในข้อหารับคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติมจำนวน 22 ราย และดำเนินคดีในความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 จำนวน 4 ราย ขณะเดียวกันได้ตรวจสอบการทำงานของคนต่างด้าว จำนวน 2,879 คน พบกระทำความผิดจำนวน 118 คน เป็นเมียนมา 94 คน ลาว 7 คน กัมพูชา 8 คน เวียดนาม 7 คน และอื่น ๆ อีก 2 คน

นายวินัย ทองอุบล จัดหางานจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า หลังหมดเขตผ่อนผันการขึ้นทะเบียน สำนักงานจัดหางานได้สนธิกำลังร่วมกับฝ่ายปกครองและตำรวจออกตรวจสอบ จับกุม ในพื้นที่ อ.เมืองเชียงราย แล้วหลายครั้ง โดยจะยังคงมาตรการการตรวจสอบ จับกุม อย่างเข้มข้นต่อไป ทั้งนี้ เป้าหมายต่อไปของปฏิบัติการตรวจสอบ-จับกุมจะเป็นพื้นที่ชายแดน อ.แม่สาย , เชียงแสน และ อ.เชียงของ ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงต้องเพิ่มความเข้มข้นในการมาตรการตรวจสอบ จับกุม มากขึ้น




ด้าน นายพิทูร ดำสาคร จัดหางานจังหวัดระนอง กล่าวว่า หลังหมดเขตการผ่อนผัน ถ้ามีการตรวจพบว่าเป็นแรงงานต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตก็จะมีการจับกุมและผลักดันออกนอกประเทศทันที ส่วนมาตรการปราบปรามตามที่กระทรวงแรงงานกำหนดในช่วงแรก ตั้งแต่วันที่ 1-15 ก.ค. 2561 ชุดปฏิบัติการทั้งสิ้น 113 ทีมทั่วประเทศ ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่จัดหางานจังหวัด ตำรวจ และฝ่ายความมั่นคงจังหวัด จะออกตรวจจับทั่วประเทศ เน้นกลุ่มที่ไม่มีใบอนุญาตก่อน พร้อมประสานทูต 3 ประเทศ เปิดศูนย์รับแรงงานผิดกฎหมายกลับประเทศตามแนวชายแดน อาทิ จ.ระนอง และตาก เป็นต้น โดยช่วงแรกจะเน้นตรวจเฉพาะใบอนุญาตและหลักฐานการทำงานในประเทศเท่านั้น ยังไม่มีการตรวจไปถึงประเภทงานที่ทำ



ข้อมูลดีดีจาก
:ttp://www.thansettakij.com/index.php/content/296303

ไล่ออก 300 คน! แรงงานพม่าเคว้งคว้าง ต้องหอบสัมภาระ อาศัยนอนวัด


ไล่ออก 300 คน! แรงงานพม่าเคว้งคว้าง ต้องหอบสัมภาระ อาศัยนอนวัด

วันที่ 18 มิ.ย. จากกรณีที่กลุ่มแรงงานพม่าได้หยุดงานเพื่อเรียกร้อง หลังจากที่เห็นว่าพวกตนที่เป็นแรงงานชาวพม่าจำนวน 271 คน ถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้างโรงงาน ไม่ได้รับความเป็นธรรมเกี่ยวกับค่าแรงงานและสวัสดิการ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. ที่ผ่านมา จึงได้เดินทางไปหารือหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงาน ที่ศูนย์ราชการจังหวัดปราจีนบุรี อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี
โดยกลุ่มตัวแทนได้แจ้งให้กับสำนักงานสวัสดิการคุ้มครองแรงงานจังหวัดปราจีนบุรี แจ้งว่า บริษัทแห่งหนึ่งใน ต.ลาดตะเคียน อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ซึ่งเป็นโรงงานผลิตแห อวน เครื่องมือประมงของคนไทย ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ในเรื่องเกี่ยงกับสิทธิ วันหยุดพักผ่อนประจำปี ค่าทำงานล่วงเวลา และค่าจ้างแรงงานในวันหยุด
เช่น พนักงานที่เข้ามาทำงานในโรงงานแห่งนี้ ได้ค่าจ้างรายวันตามกฎหมายกำหนดจริง แต่ต้องทำงานตั้งแต่เวลา 08.00 น.–20.00 น. เป็นเวลา 12 ชั่วโมง ซึ่งในช่วงนั้นต้องได้ค่าล่วงเวลาในการปฏิบัติงานด้วยเป็นจำนวนเงิน 170 บาทเศษต่อวัน แต่พนักงานทุกคนกลับไม่ได้เงินดังกล่าว นอกจากนั้นทางลูกจ้างถูกหักค่าประกันสังคมทุกเดือน บางคนก็ยังไม่ได้บัตรประกันสังคม จึงไม่สามารถไปรับการรักษาพยาบาลได้ ต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง

ต่อมาทางสวัสดิการคุ้มครองแรงงานจังหวัดปราจีนบุรี จึงได้เชิญผู้ประกอบการไปพบ และให้ดำเนินการตามที่กฎหมายแรงงงานกำหนด พนักงานในโรงงานก็รอว่า ทางผู้ประกอบการจะจ่ายเงินตามที่กฎหมายแรงงานกำหนดไว้ ปรากฏว่าทางโรงงานกลับไม่ดำเนินการตามที่ตกลง และยื่นเงื่อนไขให้กับกลุ่มแรงงานพม่าทั้งหมด ว่าทางโรงงานจะจ่ายให้รายละ 5,000 บาท พร้อมทั้งให้คนงานทั้งหมดสมัครเข้ามาทำงานใหม่ กลุ่มคนงานเห็นว่าทางโรงงานไม่ปฎิบัติตามกฎหมาย และยังถูกโรงงานไล่ออกทั้งหมด จึงได้มารวมตัวกันที่วัดคลองกลาง หมู่ 11 ต.กบินทร์ อ.กบินทร์บุรี ซึ่งใกล้กับโรงงานเป็นที่พักอาศัย เพื่อเรียกร้องสิทธิของตนเองไปยังหน่วยงานภาคราชการ รวมถึงสถานทูตเมียนมา
เมื่อช่วงเย็นเครือข่ายคุ้มครองสวัสดิการแรงงานสถานทูตพม่า ประจำประเทศไทย ได้เดินทางมาที่โรงงานดังกล่าว เพื่อเจรจาเรื่องค่าแรงและสวัสดิการของกระทรวงแรงงานไทยกับนายจ้างของโรงงาน จนได้ข้อตกลง ก่อนจะเดินทางมาที่วัดคลองกลางที่แรงงานพม่าต้องหอบสัมภาระหลังจากถูกไล่ออกจากโรงงานเป็นที่พักพิงชั่วคราว จากการเจรจาเครือข่ายคุ้มครองสวัสดิการแรงงานสถานทูตพม่า กับกลุ่มแรงงานพม่าใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จึงได้ข้อตกลงที่แรงงานพม่าเสนอ ก่อนจะนำข้อตกลงไปเสนอให้กับนายจ้างของโรงงานต่อไป
ขอขอบคุณข้อมูลดีดีจาก:https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_1232871




อัตราโทษของนายจ้้างไม่ยื่นแบบประกันสังคมและไม่นำส่งเงินสมทบของลูกจ้าง

TAGS: บริษัทหาแรงงานต่างด้าว,หาแรงงานต่างด้าว

กกจ.จับมือบริษัทไลน์คอมพานี(ประเทศไทย)จำกัดและบริษัทจัดหางานสเกาท์เอาท์จำกัดทำMOUด้านการจัดหางาน

กกจ.จับมือบริษัทไลน์คอมพานี(ประเทศไทย)จำกัดและบริษัทจัดหางานสเกาท์เอาท์จำกัดทำMOUด้านการจัดหางาน



วันที่ 21 มิถุนายน 2561 ที่ห้องประชุมเทียน อัชกุล ชั้น 10 กรมการจัดหางาน พลตำรวจเอก อดุลย์  แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และนายจรินทร์  จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการจัดหางาน ระหว่างนายอนุรักษ์ ทศรัตน์ อธิบดีกรมการจัดหางาน นายอริยะ พนมยงค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด และนายปตินันท์ วชิรมน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทจัดหางาน สเกาท์ เอาท์ จำกัด
การลงนาม MOU ด้านการจัดหางาน ตามกิจกรรม “ประชารัฐรวมใจ เพื่อคนไทยมีงานทำ” ในครั้งนี้  เป็นความร่วมมือระหว่างกรมการจัดหางาน บริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทจัดหางาน สเกาท์ เอาท์ จำกัด ซึ่งได้แสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนตามแนวทางประชารัฐ เพื่อส่งเสริมการมีงานทำ โดยเพิ่มช่องทางการเข้าถึงแหล่งงานของประชาชนให้สามารถเข้าถึงตำแหน่งงานได้ง่ายขึ้น สมัครงานได้สะดวกขึ้น อีกทั้งยังไม่เสียค่าบริการและค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด โดยผ่าน APPLICATION LINE JOBS มุ่งหวังให้คนไทยมีงานทำ มีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
สำหรับแนวทางความร่วมมือฯ นั้น กรมการจัดหางานจะทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมความต้องการแรงงาน (Demand) พร้อมทั้งสร้างการรับรู้แก่ประชาชน พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และวางแผนผลิตกำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ขณะเดียวกัน บริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด จะเป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม APPLICATION LINE JOBS ส่วนบริษัทจัดหางาน สเกาท์ เอาท์ จำกัด จะเป็นผู้จัดหาตำแหน่งงาน บริการตำแหน่งงานว่าง พัฒนาระบบจับคู่งาน เพื่อให้บริการจัดหางานบน APPLICATION LINE JOBS ซึ่งในระยะแรกให้บริการเฉพาะกลุ่มธุรกิจบริการ เช่น ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น อีกทั้งยังสนับสนุนข้อมูลเชิงสถิติ เพื่อให้กรมการจัดหางานใช้ใน        การวิเคราะห์ความต้องการตลาดแรงงานและแนวโน้มความต้องการตลาดแรงงานของประเทศ 
นอกจากนี้ กรมการจัดหางาน บริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทจัดหางาน สเกาท์ เอาท์ จำกัด ยังมีการแลกเปลี่ยนป้ายประกาศ หรือ Banner นำไปติดตั้งบนเว็บไซต์ SMARTJOB และ APPLICATION LINE JOBS เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งงานและบริการจัดหางานทั้ง 2 แหล่ง ได้สะดวก รวดเร็ว ทันที  ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนมกราคม – พฤษภาคม 2561  มีผู้ติดตาม LINE JOBS จำนวน 850,000 คน มีตำแหน่งงานว่าง จำนวนกว่า 120,000 อัตรา มีผู้สมัครงาน จำนวน 100,000 คน ได้รับการติดต่อเพื่อสัมภาษณ์งานแล้วมากกว่า 33,000 คน

กกจ. จับมือบริษัทไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทจัดหางาน สเกาท์ เอาท์ จำกัด ทำ MOU ด้านการจัดหางาน เพิ่มช่องทางการหางานผ่านแอปพลิเคชั่น LINE JOBS
พลตำรวจเอก อดุลย์  แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน  ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการจัดหางาน
นายอนุรักษ์ ทศรัตน์ อธิบดีกรมการจัดหางาน ทำ MOU ด้านการจัดหางาน เพิ่มช่องทางการหางานผ่านแอปพลิเคชั่น LINE JOBS
นายจรินทร์  จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการจัดหางาน
พิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการจัดหางาน
พิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการจัดหางาน เพิ่มช่องทางการหางานผ่านแอปพลิเคชั่น LINE JOBS
พิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการจัดหางาน เพิ่มช่องทางการหางานผ่านแอปพลิเคชั่น LINE JOBS
พิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการจัดหางาน เพิ่มช่องทางการหางานผ่านแอปพลิเคชั่น LINE JOBS
พิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการจัดหางาน เพิ่มช่องทางการหางานผ่านแอปพลิเคชั่น LINE JOBS

รับทำบัตรMOUพม่า #รับทำบัตรMOUพม่า บริษัทรับทำ mou พม่า #บริษัทรับทำ mou พม่า นายจ้างทำ mou เอง #นายจ้างทำ mou เอง

  รับทำบัตรMOUพม่า     บริษัทรับทำ  mou พม่า รับทํา  mou  ลาว ราคา ทําmouพม่า ราคา รับทำ  mou  ลาว นายจ้างทำ  mou  เอง รับทำ MOU พัทยา พา สป...