“บิ๊กอู๋” กระทุ้ง ! นายจ้างเร่งพาแรงงานต่างด้าวประมง ม.83 ต่อใบอนุญาตทำงาน

รมว.แรงงาน เตือนนายจ้างเร่งพาแรงงานต่างด้าวในกิจการประมงทะเล ตามมาตรา 83 มายื่นขอขยายเวลาทำงานต่ออีก 2 ปี ที่ศูนย์ OSS 22 จังหวัดชายทะเล ระบุตั้งแต่เปิดศูนย์ 20 ส.ค. จนถึงขณะนี้มีมายื่นเพียง 150 คน ย้ำรัฐบาลเปิดถึง 30 ก.ย.นี้ ไม่มีขยายเวลา
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานประมงทะเล โดยได้เปิดต่ออายุแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานตามมาตรา 83 แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 ที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้วออกไปอีกเป็นเวลา 2 ปี ถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 ซึ่งจะอนุญาตให้คราวละ 1 ปี ตามที่แรงงานต่างด้าวได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม – 30 กันยายน 2561 ณ ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) สำนักงานจัดหางานจังหวัด 22 จังหวัดติดชายทะเล หรือสถานที่ที่เหมาะสมในแต่ละจังหวัดนั้น ปรากฏว่า ตั้งแต่เปิดศูนย์วันที่ 20–22 สิงหาคม 2561 มีแรงงานต่างด้าวมายื่นขอขยายระยะเวลาการทำงานเพียง 150 คน เป็น กัมพูชา 73 คน ลาว 3 คน เมียนมา 74 คน โดยจังหวัดที่มีผลการดำเนินการมากที่สุด 3 อันดับคือ 1. ชุมพร 2. สมุทรปราการ 3. สมุทรสงคราม

สำหรับขั้นตอนการดำเนินการคือ 1. นายจ้างพาแรงงานต่างด้าวกลุ่มตามมาตรา 83 ที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้วไปตรวจสุขภาพ/ทำประกันสุขภาพ ณ โรงพยาบาลที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ค่าใช้จ่ายจำนวน 2,100 บาท (ค่าตรวจโรค 500 บาท ค่าประกันสุขภาพ 1,600 บาท)  2. นายจ้างพาแรงงานฯ ไปยื่นขอขยายเวลาการทำงานที่ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (OSS) ในพื้นที่ 22 จังหวัดชายทะเล ประกอบด้วย 2.1 ตรวจคนเข้าเมืองทำหน้าที่ตรวจลงตรา (VISA) ค่าใช้จ่ายจำนวน 1,900 บาท 2.2 กรมการจัดหางานออกใบอนุญาตทำงาน (WORK PERMIT) ค่าใช้จ่ายจำนวน 1,000 บาท และกรมประมงออกหนังสือคนประจำเรือสำหรับคนต่างด้าว (SEABOOK) ค่าใช้จ่ายจำนวน 100 บาท รวมทั้งสิ้น 5,100 บาท
พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวย้ำให้นายจ้างเร่งพาแรงงานต่างด้าวมายื่นขอขยายเวลาการทำงานที่ศูนย์ OSS ในพื้นที่ 22 จังหวัดชายทะเลโดยด่วน เพราะหากพ้นกำหนดวันที่ 30 กันยายน 2561 ไม่มาดำเนินการ แรงงานต่างด้าวจะไม่สามารถอยู่และทำงานอีกต่อไปได้ และรัฐบาลไม่มีนโยบายขยายเวลาให้อีกแน่นอน
ข้อมูลดีดีจาก:https://www.khaosod.co.th/pr-news/news_1481961


https://www.khaosod.co.th/pr-news/news_1481961

นักวิชาการหวั่น รัฐแก้กฏหมายรักษาแรงงานต่างด้าว ทั้งที่คนไทยยังไม่ได้รับบริการทางการแพทย์ที่ดีพอ

กรณีคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ  มีความพยายามจะแก้ไข ยกร่างพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ใช้มานานถึง 14 ปี
Sanook News! พูดคุยถึงปัญหานี้ กับผู้อำนวยการศูนย์คลังปัญญาและสารสนเทศ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์   ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ท่านกล่าวไว้ว่าการแก้ไขกฏหมายมีความน่ากังวลใจมากที่สุดก็คือ การจัดระบบหลักประกันสุขภาพให้ครอบคลุมทุกคนที่อยู่บนแผ่นดินไทย นั้นรวมถึงแรงงานต่างด้าว โรฮิงญา นักท่องเที่ยว และผู้อพยพ ตลอดจนคนชายขอบและคนไร้สัญชาติ หากมีการแก้กฏหมายนี้เรียกได้ว่า ถ้าคนกลุ่มนี้เหยียบเข้ามาบนผืนแผ่นดินไทย ต้องรักษาพยาบาลฟรีตามสิทธิ์บัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งเป็นสิ่งที่กลุ่ม NGO บางกลุ่มพยายามผลักดันมาตลอด ซึ่งหากทำเช่นนั้นจริงก็ควรต้องเปลี่ยนชื่อว่า บัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค และทุกชีวิต บนแผ่นดินไทยด้วย ขณะที่คนไทยส่วนใหญ่ยังคงตั้งคำถามว่า สิทธิ์การรักษาพยาบาลของคนไทยที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ มีประสิทธิภาพ และสมบูรณ์ดีแล้วหรือยัง ?
จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่าโรงพยาบาลรัฐหลายแห่ง แทบจะไม่มีเตียงคลอดให้แม่ซึ่งเป็นคนไทย เพราะแรงงานต่างด้าว แห่มาใช้บริการคลอดเต็มโรงพยาบาล ที่หนักกว่านั้นคือตู้อบเด็กคลอดก่อนกำหนด เต็มไปด้วยเด็กสัญชาติเมียนมาร์  และเมื่อถึงคราวจำเป็นที่เด็กสัญชาติไทยจะต้องใช้บริการตู้อบ กลับไม่มีที่ว่างเพียงพอ  จึงเกิดคำถามว่าเราเมตตาปรานีเขา จนเราเดือดร้อนกันเลยหรือ ?
ขณะเดียวกันพบว่ากลุ่มแรงงานข้ามชาติ เมื่อเข้ามาทำงานในประเทศไทย ต่างก็รีบมีลูกกัน เนื่องจากรัฐบาลไทยร่วมจ่ายเงินสมทบประกันสังคมให้แรงงานต่างด้าวด้วย และคนไทยที่ใช้สิทธิประกันสังคมเองก็แทบจะไม่ใช้สิทธิประโยชน์ด้านการคลอดและการสงเคราะห์บุตร ส่วนแรงงานต่างชาติที่ได้สิทธิประกันสังคมนี้กลับใช้สิทธิประโยชน์อย่างเต็มที่ และเป็นที่ทราบกันว่าการแพทย์ในประเทศไทยมีคุณภาพดีมากกว่าในประเทศเพื่อนบ้าน  แรงงานต่างด้าวกลุ่มนี้จึงนิยมมาคลอดลูกในประเทศไทย 
นอกจากหลักประกันสุขภาพที่ไทยรองรับให้กับกลุ่มคนเหล่านี้แล้ว เรื่องการศึกษาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่กำลังได้รับผลกระทบ จากการตรวจสอบพบว่าบางโรงเรียนในจังหวัดสมุทรสาครมีแต่นักเรียนสัญชาติเมียนมาร์เต็มทั้งโรงเรียน ซึ่งมีเงินภาษีของไทยอุดหนุนในระบบการศึกษาเหล่านี้ด้วย   เมื่อมองกลับไปอีกด้านหนึ่งกลับพบว่าเด็กสัญชาติไทยแท้ๆ บางกลุ่มกลับไม่ได้รับการศึกษาที่ดีพอ
หากมองในเรื่องสิทธิมนุษยชนที่ NGO หลายกลุ่มพยายามเรียกร้อง จนมีการผลักดันให้แก้กฏหมาย ดร. อานนท์ ให้ความเห็นว่าประเทศไทยควรพิจารณา รักษาตามความจำเป็น ตามหลักสิทธิมนุษยชน แต่ไม่ใช่มาป่าวประกาศว่ารักษาพยาบาลให้ฟรีทุกคน  ถ้าประกาศออกมาเป็นกฎหมาย ว่าให้รักษาฟรีกันหมดทุกคนที่อาศัยบนแผ่นดินไทย  ตามแนวคิดของ NGO กลุ่มนี้ เกิดมีเพื่อนบ้านทุกชาติอพยพเข้ามามากมาย สร้างภาระอันใหญ่หลวงให้กับแพทย์ในประเทศไทย แย่งเตียง  แย่งชิงทรัพยากรอันจำกัด คนไทยที่เหลืออยู่จะทำเช่นไร
ขณะที่โรงพยาบาลของรัฐหลายแห่งขาดทุน ขาดสภาพคล่องจวนจะล้มละลาย ประกอบกับภาวะสังคมผู้สูงอายุของไทยเริ่มขยายตัวขึ้น ประเทศไทยไม่ได้ร่ำรวย และไม่สามารถหาเงินมาอุดหนุนได้มหาศาล  ต่อให้มี “ตูน บอดี้สแลม” วิ่งแทบตายก็แก้ปัญหาไม่ได้  เพราะการแก้กฏหมายที่กล่าวมาข้างต้น ประเทศไทยจะกลายเป็นม้าอารีที่ถูกเบียดเบียนโดยผู้อพยพจากประเทศเพื่อนบ้าน การช่วยเหลือคนอื่นทั้งๆ ที่ตัวเราเองยังเดือดร้อน ไม่น่าจะเป็นผลบุญสักเท่าไหร่ แม้จะถูกต้องตามหลักสิทธิมนุษยชนก็ตาม “แล้วเวลาประชาชนคนไทยเดือดร้อน นักสิทธิมนุษยชนไปมุดหัวแถวรูตรงไหน ทำไมไม่ออกมาช่วยเหลือคนไทยด้วยกันเองก่อน” ดร. อานนท์ ถามกลับ
ผู้อำนวยการศูนย์คลังปัญญาและสารสนเทศ กล่าวย้ำว่าถ้าเอาตัวเองไม่รอด แล้วยังจะเสนอหน้าไปช่วยเหลือผู้อื่น คงเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้องนัก และถ้าเป็นชาติที่ฉลาดแล้วเขาจะไม่ดึงดูดให้คนต่างชาติอพยพเข้ามาใช้สิทธิ์การรักษาพยาบาลฟรีๆ ในประเทศตนเอง เพราะการรักษาพยาบาลนั้นมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก และควรทำให้คนในชาติตนเองได้รับสิ่งที่ดีเพียงพอเสียก่อน จึงอยากเรียกร้องให้คนไทย  และผู้ที่เกี่ยวข้องทบทวนมาตรการดังกล่าวว่ามันเหมาะสมแล้วหรือ?
ขอขอบคุณ https://www.sanook.com/news/2210099/

ก.แรงงาน ถกหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานภาคประมงทะเล

วันที่ 2 สิงหาคม 2561 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการประสานงานการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน (อกนร.) ครั้งที่ 1/2561 ณ ห้องประชุม ศ.นิคม จันทรวิทุร อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี นายอนุรักษ์ ทศรัตน์ อธิบดีกรมการจัดหางาน ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมประมง เป็นต้น เข้าร่วมประชุม 
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการประสานงานการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน (อกนร.) ว่า ปัจจุบันมีแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา ได้รับอนุญาตทำงานในกิจการประมงทะเลจำนวน 59,691 คน ซึ่งสมาคมประมงแห่งประเทศไทยแจ้งว่ากำลังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานประมง และได้แจ้งความต้องการจำนวน 42,649 คน ในการนี้มีนายจ้างยื่นคำร้องขอนำคนต่างด้าวมาทำงานตาม MOU ในกิจการประมงทะเลใน 22 จังหวัดชายทะเล จำนวน 3,746 คน เป็นกัมพูชา 3,003 คน ลาว 240 คน เมียนมา 503 คน ในการนี้ กรมการจัดหางานได้แจ้งให้จัดหางานจังหวัด 22 จังหวัดชายทะเลประสานสมาคมประมงเพื่อแจ้งนายจ้างให้มายื่นคำขอจ้างแรงงานต่างด้าว ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการนำเข้าตาม MOU แล้ว 1,480 คน เป็นกัมพูชา 1,439 คน ลาว 39 คน เมียนมา 2 คน ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานประมงทะเลและแนวทางการจ้างแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนาม ซึ่งฝ่ายเลขานุการโดยกรมการจัดหางานได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงความคืบหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานประมงทะเลว่า กรมการจัดหางานได้ประชุมหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องและสมาคมประมงแห่งประเทศไทยรับทราบค่าจ้าง สวัสดิการ สิทธิประโยชน์ไปนำเสนอต่อที่ประชุมวิชาการไทย-กัมพูชา และไทย-เมียนมา ซึ่งพร้อมส่งแรงงานมาทำงาน และจะได้มีการประสานงานในรายละเอียดเพิ่มเติมต่อไป 
สำหรับคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานตามมาตรา 83 แห่งพระราชกำหนดการประมงที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้ว และการอนุญาตทำงานจะหมดอายุวันที่ 30 กันยายน 2561 จำนวน 11,000 คน นั้น ที่ประชุมเห็นชอบให้ต่ออายุการทำงานออกไปอีก 2 ปี ถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 
สำหรับในส่วนของจำนวนที่ขาดแคลนกว่า 42,000 กว่าราย ให้ผู้ประกอบการยื่นคำขอจ้างแรงงานต่างด้าวได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด 22 จังหวัดชายทะเลได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2561 เพื่อที่กรมการจัดหางานจะได้ดำเนินการนำเข้าตาม MOU ต่อไป ทั้งนี้ จะได้นำเสนอผลการประชุมต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน (กนร.) เพื่อพิจารณาและนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
ในส่วนของการจ้างแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนามนั้น พบว่าปัจจุบันมีแรงงานเวียดนามทำงานอย่างถูกกฎหมายจำนวน 1,130 คน เป็นระดับฝีมือ 724 คน ส่งเสริมการลงทุน (BOI) 300 คน มติครม. (ทำงานก่อสร้าง) 100 คน แรงงานนำเข้าตาม MOU 6 คน ซึ่งเวียดนามได้ขอให้เพิ่มงานใน MOU เพราะแรงงานไม่ต้องการทำงานก่อสร้าง ประมง ขณะที่ฝ่ายไทยขอให้เวียดนามทำหนังสือผ่านช่องทางการทูตเพื่อนำมาพิจารณา โดยฝ่ายไทยได้เสนอค่าตอบแทนในงานประมงทะเลในอัตราเดือนละ 12,000 บาท ทั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการได้ขอให้ที่ประชุมพิจารณาข้อเสนอกรณีแรงงานเวียดนามที่ลักลอบทำงานเห็นควรให้กลับออกไปและกลับเข้ามาตาม MOU และพิจารณาเพิ่มประเภทงานให้แรงงานเวียดนามที่นำเข้าตาม MOU ทำได้นอกเหนือจากงานกรรมกรในกิจการก่อสร้างและประมงทะเล หรือให้ทำงานได้เฉพาะงานกรรมกรในกิจการก่อสร้างและประมงทะเล ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้แรงงานที่ลักลอบทำงานกลับประเทศและกลับเข้ามาตาม MOU และเห็นชอบเปิดให้ MOU 2 ตำแหน่งคือ กรรมกรและผู้รับใช้ในบ้าน ทั้งนี้ จะได้นำเสนอต่อที่ประชุม กนร.ต่อไป
รมว.แรงงาน กล่าวในตอนท้ายว่า เพื่อความมั่นคงของประเทศและความต้องการที่แท้จริงของภาคประมง กระทรวงแรงงานพร้อมจะให้มีการนำเข้าแรงงานตาม MOU ในกิจการประมงทะเลที่ขาดแคลน จึงขอให้แจ้งรายละเอียดว่ามีจังหวัดใดบ้างใน 22 จังหวัดชายทะเลที่ขาดแคลน เพื่อที่จะนำเข้าตาม MOU ต่อไป ในส่วนของการนำเข้าแรงงานในสัญชาติอื่นนั้น ขอเรียนว่าขณะนี้แรงงาน 4 สัญชาติมีเพียงพอแล้ว
ข้อมูลดีดีจาก:https://www.doe.go.th/prd/alien/news/param/site/152/cat/7/sub/0/pull/detail/view/detail/object_id/17244

เตือน!! แรงงานต่างด้าว..อย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้าง ระวังเสียเงินฟรี

เตือน!! แรงงานต่างด้าว..อย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้าง ระวังเสียเงินฟรี

เตือน!! แรงงานต่างด้าว..อย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้าง ระวังเสียเงินฟรี หากต้องการทำงานในประเทศไทยต้องเข้ามาในรูปแบบ MOU เท่านั้น
จัดหางานเชียงใหม่ เตือนแรงงานต่างด้าว ระวังตกเป็นเหยื่อผู้แอบอ้าง หลอกว่าสามารถดำเนินการยื่นตรวจลงตราวีซ่าและขออนุญาตทำงานได้  ย้ำ..หมดเวลาดำเนินการเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 61 ที่ผ่านมาแล้ว สำหรับแรงงานต่างด้าวกลุ่มที่ยังไม่ได้พิสูจน์สัญชาติ และยังไม่ได้ขออนุญาตทำงานและปรับปรุงทะเบียนประวัติ เพื่อจัดทำบัตรประจำตัว(บัตรสีชมพู) หากต้องการทำงานต้องกลับประเทศต้นทางและเข้ามาในรูปแบบ MOU เท่านั้น 
นางพรปวีณ์  วิชิต จัดหางานจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า สำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงใหม่ ได้รับแจ้งจาก ผู้รับบริการทั้งนายจ้างและแรงงานต่างด้าวว่ามีบุคคลแอบอ้าง ว่าสามารถช่วยดำเนินการ    ตรวจลงตราวีซ่า ประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรและอนุญาตทำงานให้แก่แรงงานต่างด้าว ที่ไม่สามารถดำเนินการ ณ ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จจังหวัดเชียงใหม่ (OSS) ทันภายในกำหนดได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ขอแจ้งว่ากระบวนการดำเนินการต่ออายุใบอนุญาตทำงานของแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว และกัมพูชา ได้สิ้นสุดไปแล้วเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2561 ขณะนี้ ไม่มีการขึ้นทะเบียนใหม่ หรือประกาศให้แรงงานต่างด้าวที่ดำเนินการไม่ทันภายในระยะเวลาที่กำหนดมาต่อ Visa หรือขออนุญาตทำงานได้อีก  และขอแจ้งเตือนไปยังนายจ้างที่จ้างแรงงานต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน ขอให้หยุดการจ้างและให้แรงงานต่างด้าวกลับประเทศต้นทาง แล้วนำเข้ามาทำงานในรูปแบบ MOU  รวมทั้ง หากมีการจ้างแรงงานต่างด้าวที่ถูกต้องแล้ว ต้องทำงานตามที่ระบุไว้เท่านั้น 
จึงขอแจ้งให้ทราบโดยทั่วกัน และอย่าได้หลงเชื่อตกเป็นเหยื่อผู้แอบอ้างดังกล่าว เพราะจะทำให้    เสียเงินเป็นจำนวนมากและเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ขอให้นายจ้าง/สถานประกอบการและแรงงานต่างด้าวติดตามข่าวสารจากสำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงใหม่  หรือสอบถามข้อมูลที่ถูกต้องจาก งานควบคุมการทำงานของคนต่างด้าว สำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงใหม่ สาขาย่อย โทร. 053-112911-4 หรือ Line ID : @doecmi
ข้อมูลดีดีจาก:http://www.konlannanews.com/2018/08/01/1713/

รับทำบัตรMOUพม่า #รับทำบัตรMOUพม่า บริษัทรับทำ mou พม่า #บริษัทรับทำ mou พม่า นายจ้างทำ mou เอง #นายจ้างทำ mou เอง

  รับทำบัตรMOUพม่า     บริษัทรับทำ  mou พม่า รับทํา  mou  ลาว ราคา ทําmouพม่า ราคา รับทำ  mou  ลาว นายจ้างทำ  mou  เอง รับทำ MOU พัทยา พา สป...