สสค.-แบงค์ชาติเปิดสถานการณ์แรงงานไทย ชี้เลือกงานไม่ต้องการงาน3ดี
สสค.เปิดโจทย์ท้าทายของการปฏิรูปการเรียนรู้ยกระดับคุณภาพแรงงานไทย 39 ล้านคน แบงค์ชาติเผยตลาดแรงงาน 80% เป็นแรงงานไร้ฝีมือ ขณะที่แรงงานไทยเลือกงานไม่ต้องการงาน 3 D “งานสกปรก-งานหนัก-งานอันตราย” ส่งผลแรงงานต่างด้าวทดแทนกว่าเท่าตัว ชี้การผลิตคนไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด บัณฑิตไร้คุณภาพ ขาดทักษะภาษา-คิดวิเคราะห์-ไอที เผยมาตรการระยะยาวจัดทำฐานข้อมูลความต้องการแรงงาน ดึงสถาบันการศึกษา-สถานประกอบการร่วมผลิตแรงงานคุณภาพตรงตามความต้องการตลาด
เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ที่อาคารเอสพี สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ได้จัดเวทีเสวนาการปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพแรงงานทั้งมวล โดย ดร.เสาวณี จันทะพงษ์ ผู้บริหารทีมนโยบายเงินทุนเคลื่อนย้าย ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวถึงสถานการณ์ตลาดแรงงานไทยในปัจจุบันว่า ปัญหาการขาดแคลนแรงงานทั้งด้านปริมาณและคุณภาพเกิดขึ้นอย่างมากและรุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ โดยตลาดแรงงานไทยมีจำนวน 39 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานไร้ฝีมือถึง 80% และเป็นผู้มีงานทำที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไปถึง 75% สะท้อนถึงโครงสร้างการผลิตของไทยยังอาศัยแรงงานเข้มข้น โดยใช้แรงงานทักษะต่ำที่มีค่าจ้างงานราคาถูกในระดับสูง และส่วนใหญ่เป็นแรงงานนอกระบบประมาณ 2 ใน 3 ของแรงงานทั้งหมด
ดร.เสาวณี กล่าวว่า ตลาดแรงงานยังมีความไม่สอดคล้องระหว่างความต้องการแรงงานของตลาดและการผลิตแรงงานรุ่นใหม่ โดยพบว่าความต้องการตลาดแรงงานส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มแรงงานไร้ฝีมือที่จบการศึกษาต่ำกว่ามัธยมศึกษา ขณะที่นักเรียนส่วนใหญ่นิยมศึกษาต่อในระดับป.ตรีจึงเป็นกลุ่มที่ตกงานมากที่สุด นอกจากนี้ผลจากระบบการศึกษายังผลิตแรงงานไม่ตรงกับความต้องการของตลาดที่ต้องการคนจบสายวิทยาศาสตร์มากกว่าสายสังคมศาสตร์ ขณะที่ผู้จบการศึกษาสายวิทยาศาสตร์ต่อสายสังคมศาสตร์อยู่ที่ร้อยละ 30 ต่อ 70 รวมถึงปัญหาคุณภาพแรงงานและคุณภาพการศึกษาที่ด้อยกว่าประเทศอื่นๆส่งผลให้แรงงานไทยขาดทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานทั้งด้านไอที ภาษาอังกฤษ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่นายจ้างต้องการ อีกทั้งแรงงานยังเลือกงานและไม่ต้องการทำงานหนักประเภท 3D นั่นคือ งานสกปรก (Dirty job) งานยาก (Difficult job) และงานอันตราย (Dangerous job) ทำให้เกิดการนำเข้าแรงงานต่างด้าวทดแทน โดยในเดือนธันวาคมปี 2556 มีแรงงานต่างด้าวที่จดทะเบียนถูกกฎหมายประมาณ 1.3 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2444 ที่มีอยู่จำนวน 600,000 คน เท่ากับว่าเป็นการเพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว
ดร.เสาวณี กล่าวว่า จากการสำรวจสถานการณ์จ้างงานในปี 2556 โดยธนาคารแห่งประเทศไทย สำรวจผู้ประกอบการ 748 บริษัท พบว่า 70% ของผู้ประกอบการในกลุ่มตัวอย่างหาแรงงานยากขึ้น และพบประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับโครงสร้างความต้องการแรงงานทั้งประเทศและระดับภูมิภาคคือ ผู้ประกอบการยังคงพึ่งพาแรงงานไร้ฝีมือ ขณะที่ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ในกลุ่มธุรกิจผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนประกอบมีความต้องการแรงงานกึ่งมีทักษะในสัดส่วนที่สูง ทั้งนี้สาเหตุของการขาดแคลนแรงงานของไทยมาจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่สังคมไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ระบบค่าตอบแทนที่ไม่สอดคล้องกับผลิตภาพแรงงาน โดยอัตราการเพิ่มค่าจ้างจริงต่ำกว่าอัตราการเพิ่มผลิตภาพของแรงงาน และในปัจจุบันตลาดแรงงานไทยมีผู้ประกอบอาชีพอิสระถึง 2 ใน 3 ของผู้มีงานทำทั้งหมด รวมถึงภาคการผลิตของไทยยังมีประสิทธิภาพต่ำ ประเทศไทยจึงอยู่ในกลุ่มระดับรายได้ปานกลางและอยู่ในกลุ่มระดับเทคโนโลยีการผลิตระดับกลาง โดยการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ
ดร.เสาวณี กล่าวอีกว่า แนวทางแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ในระยะสั้นภาครัฐและเอกชนควรปรับค่าจ้างให้สอดคล้องกับผลิตภาพของแรงงาน รวมถึงภาคเอกชนควรเพิ่มชั่วโมงการทำงานล่วงเวลาเพื่อปรับตัวในระยะสั้นเพื่อเพิ่มผลผลิตจากชั่วโมงทำงานที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ยังหาแรงงานไม่ได้ นอกจากนี้ภาครัฐควรมีแผนยุทธศาสตร์เกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทดแทนแรงงานไทยโดยเฉพาะงานประเภท 3D (งานสกปรก งานหนัก และงานอันตราย) ส่วนในระยะยาวควรเพิ่มผลิตภาพของแรงงาน โดยภาครัฐและเอกชนควรสนับสนุนการลงทุนจำนวนเครื่องจักรต่อแรงงานมากขึ้น การพัฒนาเทคโนโลยีและฝีมือแรงงานให้มีสมรรถนะสูงขึ้น รวมถึงการขยายอายุเกษียณ การสร้างความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษา สถาบันฝึกอบรม และสถานประกอบการในภาคการผลิตเพื่อผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพตรงตามความต้องการ และควรเสริมระบบข้อมูลสำหรับวางแผนกำลังคนของประเทศในระยะยาว การตั้งมาตรฐานฝีมือแรงงานในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม และการเผยแพร่ข้อมูลความต้องการของตลาดแรงงานไทยให้ประชาชนรับทราบ เพื่อกระตุ้นสถาบันการศึกษาให้มีการแนะแนวการศึกษาต่อและแนวทางประกอบอาชีพให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด
ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ระบบการศึกษาตั้งแต่ประถมไม่รู้จักสอนให้เด็กลูกหลานเกษตรกรคุ้นเคยกับภาคการเกษตร เมื่อจบมาแล้วก็เข้าสู่โรงงาน คนที่เข้าสู่โรงงานก็ประสบปัญหาถูกลดศักยภาพแรงงานเพราะเป็นระบบอุตสาหกรรมการผลิตที่แยกส่วนตามสายพานงาน จึงไม่ใช้สมอง ค่าแรงต่ำ โดยเฉลี่ยอยู่กับการทำงานวันละ 10 ชั่วโมง เพื่อเพียงพอต่อค่ายังชีพ ดังนั้นโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของตัวเองจึงไม่เกิดขึ้น ขณะที่นายจ้างก็ไม่กล้าลงทุนการฝึกอบรมฝีมือแรงงาน เพราะช่วงฝึกงานไม่ก่อให้เกิดผลผลิตและปัญหาการลาออก ดังนั้นการพัฒนาคุณภาพแรงงานอุตสาหกรรมสถานประกอบการและรัฐบาลต้องร่วมมือกัน

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น